เรียนคุณ นิชาภา สอนศรี
ตามพ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 10 ในกรณีที่นายจ้างเรียกหรือรับหลักประกัน หรือทำสัญญาประกันกับลูกจ้างเพื่อชดใช้ความเสียหายที่ลูกจ้างเป็นผู้กระทำ เมื่อนายจ้างเลิกจ้าง หรือลูกจ้างลาออกหรือสัญญาประกันสิ้นอายุ ให้นายจ้างคือหลักประกันพร้อมดอกเบี้ย ถ้ามี ให้แก่ลูกจ้างในเจ็ดวันนับแต่ที่นายจ้างเลิกจ้างหรือวันที่ลูกจ้างลาออก หรือวันที่สัญญาประกันสิ้นอายุ แล้วแต่กรณี
เนื่องจากเรื่องดังกล่าวจำเป็นต้องได้รับคำปรึกษาจากเจ้าหน้าที่กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ท่านสามารถสอบถามและให้ข้อมูลเพิ่มเติมต่อเจ้าหน้าที่ ได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 3 หรือ 1546 หรือผ่านทางไลน์กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ในวันและเวลาราชการ
เรียนคุณ นัฐพนธ์
เนื่องจากเรื่องดังกล่าวจำเป็นต้องได้รับคำปรึกษาจากเจ้าหน้าที่กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ท่านสามารถสอบถามและให้ข้อมูลเพิ่มเติมต่อเจ้าหน้าที่ ได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 3 หรือ 1546 หรือผ่านทางไลน์กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ในวันและเวลาราชการ
เรียนคุณ กนกวรรณ
การเปลี่ยนแปลงหมายเลขบัญชี ท่านต้องไปติดต่อยื่นคำร้องพร้อมแนบสำเนาหน้าบัญชีที่ต้องการ ได้ ที่สำนักงานประกันสังคม เขตพื้นที่ กทม. หรือสำนักงานประกันสังคมจังหวัด หากท่านมีความประสงค์ข้อรับข้อมูลเพิ่มเติมสามารถโทรสอบถามเจ้าหน้าที่สำนักงานประกันสังคมผ่าน สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 1
เรียน คุณ สุรเชษฐ์
กรณีจ่ายเงินสมทบมาแล้ว ไม่น้อยกว่า 180 เดือนมีสิทธิได้รับเงินบำนาญชราภาพเป็นรายเดือนในอัตรา 20% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย
กรณีที่มีการจ่ายเงินสมทบเกิน 180 เดือน
เงินบำนาญชราภาพเป็นรายเดือนในอัตรา 20% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย+1.5% ระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบทุก 12 เดือน
ตัวอย่าง ประกันตนทำงานได้รับเงินค่าจ้างเดือนละ 1.5 หมื่นบาท และส่งเงินสมทบมาแล้ว 20 ปี อายุครบ 55 ปีบริบูรณ์
1.ผู้ประกันตนจะได้รับเงินบำนาญ
= 15 ปี (แรก) ได้อัตราเงินบำนาญ 20%
= 5 ปี (หลัง) ได้อัตราเงินบำนาญ (1.5% (ปรับเพิ่ม) ×5 ปี) = 7.5%
รวมอัตราเงินบำนาญ 20 ปี = 20%+7.5% = 27.5%
ผู้ประกันตนจะได้รับเงินบำนาญรายเดือน = 27.5% ของ 1.5 หมื่นบาท = 4,125 บาท/เดือนจนตลอดชีวิต
2.กรณีผู้ประกันตนที่ได้รับเงินบำนาญชราภาพเสียชีวิตภายใน 5 ปี ทายาทผู้มีสิทธิจะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพจำนวน 10 เท่าของเงินบำนาญรายเดือน
= 4,125 บาท×10 เท่า = 41,250 บาท
*ที่สำคัญอย่าลืมการขอคืนเงินออมชราภาพให้เสร็จสิ้นก่อน 1 ปีหลังจากเกษียณ ไม่งั้นจะหมดสิทธิ
เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ
เมื่ออายุ 60 ปีแล้ว ต้องไปลงทะเบียนที่สำนักงานเขต กทม. อบต. หรือเทศบาล ซึ่งกฎหมายกำหนดให้คนไทยทุกคนเมื่ออายุ 60 ปีมีสิทธิรับเบี้ยยังชีพอย่างเท่าเทียม ยกเว้นใครมีเงินเหลือเฝือสามารถที่จะบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุคืนกระทรวงการคลังเพื่อนำไปสมทบและจ่ายเพิ่มเติมให้กับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย
เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุได้เงินเท่าไหร่
การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุในปัจจุบัน จะได้รับเงินช่วยเหลือเป็นรายเดือนต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ตลอดชีวิต โดยเป็นอัตราเพิ่มขึ้นเป็นขั้นบันไดตามช่วงอายุ ดังนี้
– อายุ 60-69 ปี ได้รับเงิน 600 บาท/เดือน
– อายุ 70-79 ปี ได้รับเงิน 700 บาท/เดือน
– อายุ 80-89 ปี ได้รับเงิน 800 บาท/เดือน
– อายุ 90 ปีขึ้นไป ได้รับเงิน 1,000 บาท/เดือน
เรียน คุณจามจุรี
เนื่องจากเรื่องดังกล่าวจำเป็นต้องได้รับคำปรึกษาจากเจ้าหน้าที่กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ท่านสามารถสอบถามและให้ข้อมูลเพิ่มเติมต่อเจ้าหน้าที่ ได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 3 หรือ 1546 หรือผ่านทางไลน์กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ในวันและเวลาราชการ
เรียน คุณ สลิล
นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างเท่ากับค่าจ้างในวันทำงานสำหรับวันหยุด ดังต่อไปนี้
(๑) วันหยุดประจำสัปดาห์ เว้นแต่ลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างรายวัน รายชั่วโมง หรือตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย
(๒) วันหยุดตามประเพณี
(๓) วันหยุดพักผ่อนประจำปี
ค่าล่วงเวลา : ลูกจ้างที่ทำงานในช่วงเวลาทำงานในวันจันทร์ – ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 17.30 / 18.00 น. (เวลาหลังเลิกงานที่แต่ละบริษัทกำหนด) เป็นต้นไป จะได้รับค่าจ้างจำนวน 1.5 เท่าของค่าจ้างเป็นรายชั่วโมง
ค่าทำงานในวันหยุด : ลูกจ้างที่ทำงานในวันหยุดประจำสัปดาห์ หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ 0-8 ชั่วโมงแรก (ไม่รวมเวลาพัก 1 ชั่วโมง) จะได้รับค่าจ้างจำนวน 1 เท่าของค่าจ้างเป็นรายชั่วโมง
ค่าล่วงเวลาในวันหยุด : ลูกจ้างที่ทำงานในวันหยุดประจำสัปดาห์ หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตั้งแต่ชั่วโมงที่ 9 เป็นต้นไป (ไม่รวมเวลาพัก 1 ชั่วโมง) จะได้รับค่าจ้างจำนว
หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 3 หรือ 1546 หรือผ่านทางไลน์กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ในวันและเวลาราชการ
เรียน คุณ ว
หากกรณีเป็นการย้ายสถานประกอบกิจการไปตั้ง ณ สถานที่อื่นอันมีผลกระทบสำคัญต่อการดำรงชีวิตตามปกติของลูกจ้างหรือครอบครัว หากลูกจ้างไม่ประสงค์จะไปทำงานด้วยลูกจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างได้ภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับแจ้งจากนายจ้างโดยลูกจ้างจะมีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษตามมาตรา 120 แห่งพรบ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 แต่หากลูกจ้างมีความประสงค์ที่ย้ายไปปฏิบัติงานตามคำสั่งของนายจ้าง กฎหมายคุ้มครองแรงงานได้ให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับสวัสดิการในสถานประกอบกิจการ คือ น้ำสะอาดสำหรับดื่ม ห้องน้ำ เวชภัณฑ์ และยาเพื่อใช้ในการปฐมพยาบาลหรือเป็นสวัสดิการที่นายจ้างหรือลูกจ้างอาจตกลงกันนอกเหนือจากที่กฎหมายกำหนด อาทิเช่น เงินช่วยเหลือค่าเดินทาง เป็นต้น
หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 3 หรือ 1546 หรือผ่านทางไลน์กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ในวันและเวลาราชการ
สวัสดีคุณ คุณชัชติพนธ์
เนื่องจากท่านไม่ได้ระบุว่าลูกจ้างต่างด้าวอยู่ในกลุ่มที่ได้รับการอนุมัติตามมติคณะรัฐมนตรี ช่วงวันที่เท่าไหร่ เราจึงขอแจ้งรายละเอียด ดังนี้ครับ
1. กลุ่มที่ถือบัตรสีชมพู จำนวน 1,400,387 คน ประกอบด้วย
1.1 กลุ่มแรงงานต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรี 20 สิงหาคม 2562 มีจำนวน 1,162,443 คน ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสุขภาพและขอต่อ Visa ครั้งที่ 2 ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2564 ให้ขยายระยะเวลาการตรวจสุขภาพ และขอต่อ Visa ออกไปอีก 6 เดือน ถึงวันที่ 30 กันยายน 2564
1.2 กลุ่มแรงงานต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรี 4 สิงหาคม 2563 มีจำนวน 237,944 คน ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสุขภาพและขอต่อ Visa ครั้งที่ 1 ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2564 ให้ขยายระยะเวลาการตรวจสุขภาพ และขอต่อ Visa ออกไปอีก 6 เดือน ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2564
2. กลุ่มแรงงานต่างด้าวตาม MoU จำนวน 434,784 คน ประกอบด้วย
2.1 แรงงานต่างด้าวกลุ่ม MoU ตามมติคณะรัฐมนตรี 10 พฤศจิกายน 2563 มีจำนวน 119,094 คน
2.2 แรงงานต่างด้าวกลุ่ม MoU ที่วาระการจ้างงานครบ 2 ปีแรก 315,690 คน
ทั้งสองกลุ่มอยู่ระหว่างตรวจสุขภาพและขอต่อ Visa จึงขอขยายระยะเวลาการตรวจสุขภาพ และขอต่อ Visa ออกไปอีก 6 เดือน ซึ่งกลุ่มนี้ทยอยครบกำหนด โดยสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2565
3.กลุ่มแรงงานต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรี 29 ธันวาคม 2563 ซึ่งอยู่ระหว่างยื่นลงทะเบียน คาดว่ามีจำนวนประมาณ 500,000 คน จัดเก็บข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) เพื่อการพิสูจน์ตัวตนของคนต่างด้าว และความมั่นคงของประเทศ ในช่วงเวลาเดียวกับที่ตรวจโควิด – 19 ภายในวันที่ 16 เมษายน 2564 และให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองส่งข้อมูลคนต่างด้าวที่ได้จัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) แล้ว เพื่อให้กรมการจัดหางานออกใบอนุญาตทำงานต่อไป
4.กลุ่มผู้ต้องกักที่เป็นคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) ตามที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแจ้งไว้มีจำนวนประมาณ 500 คน
ทั้งนี้ นายจ้าง/สถานประกอบการ และคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือที่ไลน์ @Service_Workpermit หรือโทรสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน 1694 ซึ่งมีการจัดล่ามในภาษากัมพูชา เมียนมา และอังกฤษ ให้บริการข้อมูลข่าวสาร และแนะนำวิธีการดำเนินการ
https://www.doe.go.th/prd/main/news/param/site/1/cat/7/sub/0/pull/detail/view/detail/object_id/42870
ตามประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง (ฉบับที่ 10) ซึ่งได้ประกาศให้มีผลใช้บังคับ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 https://www.mol.go.th/%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%95%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%84%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%88%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%87%e0%b8%82%e0%b8%b1%e0%b9%89%e0%b8%99%e0%b8%95%e0%b9%88%e0%b8%b3/
และมาตรา 90 เมื่อประกาศกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำมีผลใช้บังคับแล้ว ห้ามมิให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างแก่ลูกจ้างน้อยกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ
ให้นายจ้างที่อยู่ในข่ายบังคับของประกาศกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำปิดประกาศดังกล่าวไว้ในที่เปิดเผยเพื่อให้ลูกจ้างได้ทราบ ณ สถานที่ทำงานของลูกจ้างตลอดระยะเวลาที่ประกาศดังกล่าวมีผลใช้บังคับ
วันหยุดพักผ่อนประจำปี
ตามพรบ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 30 ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันมาแล้วครบหนึ่งปีมีสิทธิหยุดผักผ่อนประจำปีได้ปีหนึ่งไม่น้อยกว่า 6 วันทำงานโดยให้นายจ้างเป็นผู้กำหนดวันหยุดดังกล่าวให้แก่ลูกจ้างหรือกำหนดให้ตามที่นายจ้างลูกจ้างตกลงกัน ในปีต่อมานายจ้างอาจกำหนดวันหยุดพักผ่อนประจำปี ให้แก่ลูกจ้างมากกว่าหกวันทำงานก็ได้..กรณ๊วันหยุดพักผ่อนประจำปีที่ยังมิได้หยุดในปี้นั้นนายจ้างอาจตกลงกันล่วงหน้าให้สะสมและเลื่อนวันหยุดที่ยังมิได้หยุดในปีนั้นรวมเข้ากับปีต่อๆไปได้และกรณีที่ลูกจ้างมีการลาออก แล้ววันหยุดพักผ่อนยังคงเหลือ นายจ้างต้องจ่ายเป็นเงินตามอัตราค่าจ้างต่อวัน หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 3 หรือ 1546 หรือผ่านทางไลน์ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ในวันและเวลาราชการ
เรียน คุณสาวิน ดวงกมล
ในการพิจารณาเปลี่ยนนายจ้างของคนต่างด้าวที่มาทำงานตาม MOU คนต่างด้าวต้องสามารถพิสูจน์ให้นายทะเบียนเห็นได้ตามนี้จึงมีสิทธิ์เปลี่ยนนายจ้าง ดังนี้
1) คนต่างด้าวออกจากงานเนื่องจากความผิดของนายจ้าง เช่น นายจ้างกระทำทารุณกรรมหรือทำร้ายร่างกายลูกจ้างนายจ้างไม่ปฏิบัติตามสัญญาจ้างหรือกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานในสภาพแวดล้อมในการทำงานที่อาจทำให้ลูกจ้างได้รับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย จิตใจ หรือสุขภาพอนามัย เป็นต้นและรวมถึงกรณีนายจ้างเลิกจ้างโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร นายจ้างเสียชีวิตหรือนายจ้างล้มละลาย
2) มีการชำระค่าเสียหายให้แก่นายจ้างรายเดิมแล้ว (ได้แก่ค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการทำงานคนต่างด้าวนั้นมาทำงานโดยคำนวณตามสัดส่วนของระยะเวลาที่คนต่างด้าวนั้นทำงานไปแล้ว) ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่คนต่างด้าวชำระค่าเสียหายเองหรือกรณีที่นายจ้างรายใหม่ หรือบุคคลหนึ่งคนใดเป็นผู้ชำระค่าเสียหายก็ตาม โดยมีเอกสารหรือหลักฐานที่แสดงว่านายจ้างรายเดิมได้รับชำระค่าเสียหายแล้ว
หากมีสงสัยท่านสามารถขอรับคำปรึกษาเพิ่มเติมกับเจ้าหน้าที่กรมการจัดหางาน ได้ที่โทรศัพท์สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน 1694
เรียน คุณวรสรณ์ นิมมาน
ท่านต้องไปติดต่อที่สถานทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย เพื่อรับหนังสือเดินทางแล้วตรวจลงตราวีซ่าและขออนุญาตทำงานที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด หรือ สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 ต่อไป
นายจ้างมีหน้าที่ต้องจัดสวัสดิการให้ครบทุกประเภทและ ตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด อาทิจัดให้มีน้ำสะอาดสำหรับดื่ม จัดห้องน้ำ และห้องส้วมสำหรับลูกจ้างชายและลูกจ้างหญิง จัดสิ่งจำเป็นในการปฐมพยาบาล และการรักษาพยาบาล เป็นต้น ส่วนสวัสดิการอื่นๆ นอกจากที่กฎหมายคุ้มครองแรงงานกำหนดนายจ้างมีอำนาจจัดขึ้นได้เองตามความ เหมาะสม หากนายจ้างไม่มีสวัสดิการใด ๆ เลย
ท่านสามารถแจ้งพนักงานตรวจแรงงานเพื่อดำเนินการตรวจสอบให้นายจ้างปฏิบัติตาม กฎหมายการทำงานของคนต่างด้าว
หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 3 หรือ 1546 หรือผ่านทางไลน์ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ในวันและเวลาราชการ
1.สำหรับผู้ประกันตนที่ยื่นขอรับสิทธิประโยชน์ทดแทนกรณีสงเคราะห์บุตรรายใหม่ ให้ผู้ประกันตนลงทะเบียนพร้อมเพย์กับธนาคารที่เปิดบัญชีด้วยหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชนให้เรียบร้อย
และติดต่อด้วยตนเองได้ที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา (ยกเว้นสำนักงานใหญ่)
2.สำหรับผู้ประกันตนที่ยื่นขอรับสิทธิประโยชน์ทดแทนกรณีสงเคราะห์บุตรไว้ก่อนแล้ว สามารถแจ้งเปลี่ยนแปลงการขอรับประโยชน์ทดแทนฯ จากการรับเงินโอนผ่านบัญชีเงินฝากธนาคารเป็น
ผ่านบริการพร้อมเพย์ โดยลงทะเบียนพร้อมเพย์กับธนาคารที่เปิดบัญชีด้วยหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชนให้เรียบร้อย และติดต่อด้วยตนเอง หรือ โทรศัพท์แจ้งสำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา ที่ท่านยื่นขอรับสิทธิประโยชน์ (ยกเว้นสำนักงานใหญ่) เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการบันทึกข้อมูลเปลี่ยนแปลงช่องทางการขอรับสิทธิประโยชน์ทดแทนกรณีสงเคราะห์บุตรผ่านบริการพร้อมเพย์ได้
หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 1
สามารถยื่นคำร้องได้ที่สำนักงานแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสำนักประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ ชั้น 12 อาคารกระทรวงแรงงาน ถนนมิตรไมตรี เขตดินแดง กรุงเทพฯ ในวันและเวลาราชการ
พร้อมเอกสารคนงานไทยที่ขาดการติดต่อหรือถูกจับกุม หรือสำนักงานแรงงานไทยประเทศ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เมืองฮ่องกง มาเลเซีย เกาหลี บรูไน อิสราเอล ซาอุดิอารเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
สำนักงานแรงงานไทย ณ กรุงมะนิลา (ส่วนที่ 2) ไทเป สำนักงานแรงงานไทย ณ กรุงมะนิลา (ส่วนที่ 2) สาขาเมืองเกาสง ที่แรงงานไทยไปทำงาน หากเป็นประเทศอื่น ๆ ติดต่อสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศนั้น ๆ โทรศัพท์ติดต่อสำนักประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ ในวันและเวลาราชการ โทรศัพท์ 0 2232 1242