วันที่ 13 พฤศจิกายน 2566 นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายเดชา พฤกษ์พัฒนรักษ์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานพิธีกล่าวเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการระดับภูมิภาค เรื่อง แรงงานข้ามชาติเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์โควิด-19 และภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข รวมถึงความอ่อนไหวทางเพศ ทักษะสีเขียว และโรคระบาดในอนาคต โดยมี ดร.รัชดา ไชยคุปต์ ผู้แทนไทยด้านสิทธิสตรีในคณะกรรมาธิการอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมสิทธิสตรีและเด็ก คุณอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ คุณเจอรัลดีน อองซาร์ค หัวหน้าสำนักงานองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน ประจำประเทศไทย ผู้แทนจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้แทนองค์กรเฉพาะสาขาของอาเซียน และผู้แทนสำนักเลขาธิการอาเซียน ผู้สนับสนุนสถานที่ดูงาน CP All Academy พร้อมด้วย ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วม ณ โรงแรมเบสท์เวสเทิร์นพลัสแวนด้าแกรนด์ จังหวัดนนทบุรี
นายเดชา กล่าวว่า การประชุมในครั้งนี้เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้แทนภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา ภาคประชาสังคม และองค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องในอาเซียน ได้มาหารือและแบ่งปันความรู้ร่วมกัน เพื่อนำไปสู่ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน ในประเด็นที่เกี่ยวกับแรงงานข้ามชาติ โดยเฉพาะแรงงานข้ามชาติที่เป็นสตรี กระทรวงแรงงานมีความยินดีอย่างยิ่ง ที่ได้เห็นภูมิภาคอาเซียน เป็นภูมิภาคที่ให้ความสำคัญกับประเด็นการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิของแรงงานข้ามชาติ ในขณะเดียวกันก็ได้มีการบูรณาการประเด็นความเท่าเทียมทางเพศ และการเสริมสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจของสตรีลงในนโยบายด้านแรงงาน นอกจากนี้ เรายังมีการคำนึงถึงประเด็นที่ถูกหยิบยกอย่างมากในเวทีระหว่างประเทศด้านแรงงานหลาย ๆ เวที นั่นก็คือ การเรียนรู้จากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 เพื่อเป็นบทเรียนในการรับมือกับวิกฤติและความเปลี่ยนแปลงในอนาคต รวมถึง ประเด็นการฟื้นตัวของโลกยุคหลังการระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งเน้นการเสริมสร้างงานและทักษะสีเขียว เพื่อปูทางสู่โลกอนาคตของงานที่มีความยั่งยืนและใส่ใจสิ่งแวดล้อม
นายเดชา กล่าวต่อว่า การประชุมในวันนี้มีแรงงานข้ามชาติเป็นศูนย์กลาง และเป็นหัวใจสำคัญของการประชุม ผมขอยืนยันว่ารัฐบาลไทยมีความมุ่งมั่นในการให้ความคุ้มครองแรงงานข้ามชาติ ทั้งหญิงและชาย ให้ได้รับสิทธิและการคุ้มครองที่เหมาะสม โดยไม่มีการแบ่งแยกหรือเลือกปฏิบัติ ด้วยกระทรวงแรงงานตระหนักดีถึงความสำคัญของแรงงานข้ามชาติ ในฐานะกำลังแรงงานที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย และเราทราบดีว่าแรงงานกลุ่มนี้ เป็นแรงงานที่เปราะบางต่อความไม่แน่นอนในตลาดแรงงานมากกว่าแรงงานกลุ่มอื่น โดยเฉพาะสตรีและเด็ก ซึ่งสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ที่ผ่านมา ก็เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่า รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการและการคุ้มครองแรงงานข้ามชาติ ผ่านนโยบายที่สำคัญ เช่น การสนับสนุนและส่งเสริมช่องทางการทำงานของแรงงานข้ามชาติที่ถูกกฎหมาย โดยผ่านความตกลง MOU รวมถึง การมีมาตรการฉุกเฉินผ่อนผันให้แรงงาน 3 สัญชาติ ได้แก่ กัมพูชา ลาว และเมียนมา สามารถอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษและทำงานเป็นการชั่วคราว ในช่วงสถานการณ์ฉุกเฉิน นอกจากนี้ ยังมีการปูพรมฉีดวัคซีนให้กับแรงงานข้ามชาติทุกคนในสถานประกอบกิจการ หรือที่เรียกว่านโยบาย Factory Sandbox สำหรับแนวทางต่อไปในอนาคต ท่านพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ก็มีนโยบายที่สะท้อนการให้ความสำคัญกับแรงงานข้ามชาติ โดยเฉพาะในด้านการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน ให้กับทั้งแรงงานไทยและแรงงานข้ามชาติ เพื่อดึงดูดแรงงานที่มีคุณภาพ ดังนั้นรัฐบาลไทยยืนยันความมุ่งมั่นที่จะพัฒนานโยบายการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติให้ดียิ่งขึ้นต่อไป
“สุดท้ายนี้ ในฐานะผู้ประสานงาน ACMW Thailand หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการประชุมในวันนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมาก ในการที่จะช่วยให้ประเทศสมาชิกอาเซียน สามารถเรียนรู้และพัฒนาไปพร้อม ๆ กัน ในการบรรลุซึ่งเป้าหมายตามปฏิญญาอาเซียน ว่าด้วยการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิของแรงงานต่างด้าว โดยไม่ลืมที่จะคำนึงถึงประเด็นเพศภาวะและสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างอาเซียนให้เป็นภูมิภาคที่มีความครอบคลุม ปรับตัวได้ และมีความยั่งยืนต่อไป” นายเดชา กล่าวท้ายสุด
————————————–
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
















