วันที่ 14 มีนาคม 2566 เวลา 10.30 น. นายวรรณรัตน์ ศรีสุขใส รองปลัดกระทรวงแรงงาน บันทึกเทปสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย (สวท.) คลื่น F.M. 92.5 MHz. ประเด็น วางรากฐานความมั่นคงแรงงาน ฟื้นเศรษฐกิจประเทศหลังโควิด ณ ห้องทำงานรองปลัดกระทรวงแรงงาน ชั้น 7 อาคารกระทรวงแรงงาน
ทั้งนี้ รองปลัดกระทรวงแรงงาน ได้ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นวางรากฐานความมั่นคงแรงงาน ฟื้นเศรษฐกิจประเทศหลังโควิดว่า ในช่วงเกิดวิกฤตการระบาดของโรคโควิด -19 ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมานั้น ถือว่าการแพร่ระบาดขณะนั้นรุนแรงมาก หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังอยู่ในภาวะการตั้งรับ ไม่มีตำราสอนในการแก้ไขปัญหาโควิด เพราะเป็นโรคอุบัติใหม่ โควิด – 19 ได้ส่งพิษร้ายต่อทั้งภาคธุรกิจ ภาคสังคม สร้างการเคลื่อนย้ายของภาคแรงงานอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่การดำเนินงานการดูแลภาคแรงงานในช่วงวิกฤติที่ผ่านมา กระทรวงแรงงานกลับได้รับการชื่นชมจากหน่วยงานระดับโลก เช่น WHO (องค์การอนามัยโลก) ที่ชื่นชมกระทรวงแรงงานในฐานะหน่วยงานที่มีความสำคัญในการนำพาประเทศฝ่าวิกฤต รวมถึง IMF ที่ได้เผยแพร่รายงานอัตราการว่างงานของประเทศไทยที่ต่ำที่สุดเพียง 1% ผลจากการแก้ปัญหาได้ตรงจุด ทั้งนี้ ด้วยความเป็นผู้นำของท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และท่านสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มองเห็นความสำคัญของภาคธุรกิจและภาคแรงงาน จึงให้การสนับสนุนผ่านมาตรการต่าง ๆ ของกระทรวงแรงงาน จนนำพาให้วิกฤตหลายอย่างดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และได้รับการชื่นชมเป็นอย่างมาก และปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้การดำเนินงานของกระทรวงแรงงาน ภายใต้การนำของท่านสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ประสบความสำเร็จ คือ พี่น้องผู้ใช้แรงงาน ที่ได้สะท้อนปัญหามาที่ท่านรัฐมนตรีโดยตรง การเปิดใจรับฟังด้วยความเข้าใจกันเหมือนคนในครอบครัว ทำให้กระทรวงแรงงานแก้ไขปัญหาได้ถูกจุด จนผ่านวิกฤตในครั้งนั้นมาได้ ซึ่งผลการดำเนินงานในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ได้ดำเนินงานที่สำคัญๆ ดังนี้ มาตรการให้ความช่วยเหลือนายจ้าง ลูกจ้าง และผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 การช่วยเหลือเยียวยา การส่งเสริมการมีงานทำ การยกระดับคุณภาพชีวิตพี่น้องผู้ใช้แรงงาน
อีกทั้ง ตามที่รัฐบาลมีนโยบายเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวภายหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง ส่งผลให้สถานประกอบการธุรกิจต่างมีความต้องการแรงงานเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเศรษฐกิจไทยที่กำลังขยายตัว รวมถึงที่ผ่านมาเราจำเป็นต้องนำแรงงานต่างด้าวเข้ามาจากปัญหาการขาดแคลนแรงงาน แต่ขณะเดียวกันรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการมีงานทำสำหรับคนไทย กระทรวงแรงงาน จึงสนับสนุนให้ผู้ประกอบการได้จ้างคนไทยก่อนเป็นลำดับแรก เพื่อให้คนไทยมีงานทำ มีอาชีพ มีรายได้ที่มั่นคง เมื่อหาคนไทยไม่ได้แล้วถึงต้องจ้างแรงงานต่างด้าว นำแรงงานต่างด้าวเข้ามาตามเอ็มโอยูเนื่องจากบางธุรกิจยังมีความจำเป็นที่ต้องพึ่งพาแรงงานต่างด้าวอยู่ เนื่องจากเป็นงานที่คนไทยไม่ทำ เช่น งานประเภทกิจการประมง กรรมกรก่อสร้าง อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นการแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงานที่ตรงจุดจะทำให้ผู้ประกอบการมีแรงงานอย่างเพียงพอ สามารถขับเคลื่อนธุรกิจ เศรษฐกิจและสังคมของประเทศต่อไปได้
นอกจากนี้ ปัจจุบันประเทศไทยมีความจำเป็นต้องใช้แรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงานในกิจการที่แรงงานขาดแคลนรวมถึงกิจการที่คนไทยไม่นิยมทำ ซึ่งในปี 2566 นี้ มีแรงงานต่างด้าวสัญชาติ ลาว กัมพูชา เมียนมา และเวียดนาม เข้ามาทำงานในประเทศไทยแล้วกว่า 3 ล้านคน ซึ่งรัฐบาลภายใต้การนำของท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมีความมุ่งมั่นพัฒนากลไกการเพิ่มประสิทธิภาพในการคุ้มครอง ดูแลสิทธิของแรงงานต่างด้าวให้มีความเสมอภาค ไม่เลือกปฏิบัติสอดคล้องตามหลักสิทธิมนุษยชน โดยมอบหมายให้ท่านสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สนับสนุนให้แรงงานต่างด้าวเข้าไปมีบทบาทในการแสดงความคิดเห็น ร่วมปรึกษาหารือกับนายจ้างในการจัดสวัสดิการภายในสถานประกอบกิจการให้แก่ลูกจ้างตามสัญชาติได้อย่างเหมาะสมในแต่ละประเภทกิจการ ตรงตามความต้องการของลูกจ้างเอง มิใช่นายจ้างจัดการเพียงฝ่ายเดียว ลูกจ้างต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมายทุกคนจะได้รับการคุ้มครองเช่นเดียวกับลูกจ้างคนไทย ซึ่งเป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน ซึ่งหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานนั้น มีหน้าที่คุ้มครองสิทธิประโยชน์และสวัสดิการของลูกจ้าง โดยสามารถจำแนกหน้าที่ที่รับผิดชอบเป็นหน่วยงานได้ดังนี้ ในส่วนของกิจกรรมที่กระทรวงแรงงานได้ดำเนินการไปแล้วนั้น ก็มีกิจกรรมกิจกรรมออกหน่วยประชาสัมพันธ์เคลื่อนที่ตามโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้ และความเข้าใจนโยบายการบริหารจัดการ การนำเข้า ป้องกันและคุ้มครองสิทธิแรงงานต่างด้าวของกระทรวงแรงงานและรัฐบาล ก็เพื่อสร้างการรับรู้เรื่องสิทธิของแรงงานต่างด้าว ภายใต้กรอบแนวคิด “แรงงานต่างด้าวและแรงงานไทยได้รับการดูแลอย่างเท่าเทียม” โดยมุ่งเน้นการสร้างการรับรู้ให้แก่นายจ้าง สถานประกอบกิจการที่จ้างแรงงานต่างด้าว รวมทั้งกำชับให้ส่วนราชการสังกัดกระทรวงแรงงานในพื้นที่ให้ความสำคัญในการบูรณาการเพื่อบริหารจัดการ การนำเข้า ป้องกัน และคุ้มครองสิทธิแรงงานต่างด้าวให้ได้รับการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเท่าเทียมกับแรงงานไทย
ขอฝากถึงนายจ้าง เจ้าของสถานประกอบกิจการที่มีการจ้างแรงงานต่างด้าว ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายตั้งแต่การนำเข้าแรงงานต่างด้าว นำลูกจ้างมาขึ้นทะเบียนให้ถูกต้อง และปฏิบัติต่อลูกจ้างต่างด้าว และลูกจ้างที่เป็นคนไทย อย่างเท่าเทียมกัน ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน เพราะไม่ว่าจะเป็นคนสัญชาติใดต่างก็ทำงานให้เกิดประโยชน์ต่อนายจ้าง สถานประกอบกิจการด้วยกัน และหากลูกจ้างทุกคนไม่ได้รับความเป็นธรรม สามารถร้องเรียนได้ในทุกช่องทางของกระทรวงแรงงาน หรือโทรสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 ไว้บริการให้ความเป็นธรรม โดยจัดให้มีเจ้าหน้าที่ตอบคำถามและให้คำปรึกษาในภาษาเมียนมา กัมพูชา ด้วย นายวรรณรัตน์ฯ กล่าวในท้ายที่สุด
———————————
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
On March 14, 2023, at 10.30 hours, the Ministry of Labour’s Spokesperson, Mr. Wannarat Srisuksai, gave a recovered interview over the telephone with Radio Thailand (NBT) FM 92.5 MHz on laying the foundation for labour security to revitalize the country’s economy after COVID-19. The occasion took place at the office of the Deputy Permanent Secretary of Labour, 7th floor, Ministry of Labour.
The Deputy Permanent Secretary of Labour gave an interview on laying the foundation for labour security to revitalize the country’s economy after COVID-19. Over the past three years, the outbreak of COVID-9 has been severe. Related agencies had to go on the defense, and there was no textbook to follow to solve the issues that came with COVID-19. As an emerging disease, COVID-19 seriously impacted the business and social sectors, creating an inevitable movement in the labour sector. But in caring for the workforce throughout the crisis, world-class agencies such as the WHO (World Health Organization) recognized the Ministry of Labour as key in guiding the country through the crisis. In addition, the IMF published a report on Thailand having the lowest unemployment rate of only 1%, the result of solving issues concretely. The Prime Minister and Minister of Defense, General Prayuth Chan-ocha, and the Labour Minister, Mr. Suchart Chomklin, recognize the importance of the business and labour sector. Therefore, the Ministry of Labour provided support through various measures. Many crises noticeably improved and were greatly appreciated. The most important factor that made the Ministry of Labour’s operations successful under the leadership of the Labour Minister, Mr. Suchart Chomklin, was the workforce that directly reflected the issues, allowing the Ministry of Labour to solve the problem at the right point, overcoming the crisis. The past two years’ results have been carried out through important measures, such as assistance to employers, employees, and insured persons affected by the COVID-19 pandemic, providing aid, promoting employment, and improving the quality of life of workers.
In addition, the government’s policy to open the country to welcome tourists after the COVID-19 situation subsided resulted in many business establishments requiring many workers following the expanding Thai economy. In the past, Thailand had to bring in foreign workers due to a labour shortage. But at the same time, the government has a policy to promote employment for the Thai people. The Ministry of Labour, therefore, encourages business operators to hire Thai people first so that Thai people have jobs, a career, and a stable incomes. When businesses cannot hire Thai people, they can hire foreign workers by bringing them in via MOUs. Some businesses still rely on foreign workers, as they are jobs that Thai people do not do, such as jobs in fisheries and construction. Therefore, solving labour shortages on a point will allow businesses to have enough workers to drive the country’s business, economy, and society in the future.
In addition, Thailand needs foreign workers to work in businesses that have labour shortages, including businesses that Thai people do not like to do. In 2023, over 3 million migrant workers from Laos, Cambodia, Myanmar, and Vietnam will come to work in Thailand. Under the leadership of the Prime Minister and Minister of Defense, General Prayuth Chan-ocha, the government is committed to developing mechanisms to increase efficiency in protection to take care of the rights of foreign workers to be equal and non-discriminant, in line with human rights principles. The Labour Minister, Mr. Suchart Chomklin, was assigned to encourage migrant workers to play a role in expressing their opinions and participate in discussions with employers on providing appropriate welfare within the workplace for employees according to nationality and each type of business. The initiative ensures the employees’ needs are met and that it is not the sole management of the employer. Foreign workers legally working in Thailand will receive the same protection as Thai workers, which follows human rights principles. Agencies under the Ministry of Labour are responsible for protecting the benefits and welfare of employees. Responsibilities can be classified into departments. Activities that the Ministry of Labour has already carried out include a mobile public relations unit following the public relations project to create awareness and understanding of policies for administration, importation, and protection of foreign workers’ rights by the Ministry of Labour and the government. It is to create awareness of the rights of foreign workers under the concept of “foreign workers and Thai workers treated equally.” It focuses on creating awareness for employers and business establishments that employ foreign workers and urges government agencies under the Ministry of Labour to focus on managing, importing, preventing, and protecting foreign workers’ rights to be treated equally with Thai labour laws.
“I would like to ask employers and owners of establishments that employ foreign workers to comply with the law on the importation of foreign workers, taking employees to register correctly and treat foreign and Thai employees equally, according to labour law on protection. No matter what nationality, they work for the benefit of the employer and business. If all employees are not treated fairly, complaints can be made through all channels of the Ministry of Labour or call the Ministry of Labour’s hotline on 1506. Hotline staff can also provide answers and advice in Burmese and Cambodian too,” concluded Mr. Wannarat.
———————————
Division of Public Relations
