นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงงาน กล่าวถึงการเดินทางไปราชการที่ประเทศญี่ปุ่นระหว่างวันที่ 5-13 เมษายนที่ผ่านมา ว่า ผู้บริหารกระทรวงแรงงาน และเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ได้ไปเข้าพบและศึกษาดูงาน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนของประเทศญี่ปุ่น 3 แห่ง โดยหารือถึงการที่กองทุนประกันสังคม จะหารายได้เพิ่ม จาก 2.5 % เป็น 5 % โดยไปดูรูปแบบการลงทุนในประเทศญี่ปุ่น
โดยในครั้งนี้ได้เข้าหารือกับกลุ่มบริษัท Mitsubishi UFJ Financial Group สถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ศึกษาความเป็นไปได้ในการหาลู่ทางการลงทุน โดยทางกองทุนประกันสังคม จะนำเงินบางส่วนไปลงทุน ซึ่งเป็นการหารือและเก็บข้อมูลว่าเมื่อไปลงทุนแล้วจะมีผลตอบแทนอย่างไร ส่วนบริษัทที่สองคือ Sumitomo Mitsui Trust Bank เป็นบริษัทที่ทำเรื่องอสังหาริมทรัพย์ในประเทศญี่ปุ่น มีการซื้อตึกหรือสร้างตึกเพื่อขายหรือปล่อยเช่า และบริษัทสุดท้าย Affirma Capital Managers Korea Limited เป็นบริษัท ร้านขายสินค้าปลอดภาษี อันดับ1 ของญี่ปุ่น
นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ทั้ง 3 บริษัทมีความไม่เหมือนกัน แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ทำอย่างไรให้ได้ตามเป้าหมาย ที่ประกาศเป็นโยบายว่าต้องมีผลตอบแทนไม่น้อยกว่า 5% หรือปีละ 1,200,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นดอกผลจากเงินกองทุนประกันสังคม ทั้งหมดประมาณ 2.4 ล้านล้านบาท โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา กองทุนประกันสังคม ทำรายได้เกือบ 6 หมื่นล้านบาท เพราะฉะนั้นเป้าหมายของปี 2567 จากที่เคยได้ 2.4% ก็จะขยับไปที่ประมาณ 3-4 % ถ้าเป็นไปได้ในปี 2568 เราจะมีดอกผลไม่น้อยกว่า 5% เข้าสู่เป้าหมาย ของการมีดอกผล 1.2 แสนล้าน เมื่อกองทุนมีโอกาสเติบโต เชื่อว่าในปี 2567 อาจจะมีเงินต้น กองทุนประกันสังคม เพิ่มจาก 2.4 เป็น 2.6 ล้านล้านบาท และในปี 2568 ควรจะมี 2.7 ล้านล้านบาท ถ้าเราสามารถปฏิบัติได้ตามเงื่อนไขผลกำไร ไม่น้อยกว่า 5 % กองทุนจะไม่ถึงจุดล้มละลายในปี 2597 และเชื่อว่าถ้าเราเดินถึงตรงนั้นได้ก็จะขยายระยะเวลาไปเรื่อยๆ
“ในฐานะที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี มากำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ผมมีหน้าที่ที่จะคิดว่าทำอย่างไรให้กระทรวงแรงงานเราพัฒนา เป็นกระทรวงเศรษฐกิจในระดับหนึ่ง และที่สำคัญที่สุด เงินกองทุนประกันสังคม ของผู้ประกันตนตามมาตรา 33,39 และ 40 จะต้องไม่มีคำว่า ล้มละลาย และไม่ใช่ว่าเก็บเงินวันนี้เพื่อไปชดเชยคนที่เกษียณอายุที่ผ่านมา เราจะไม่รอถึงเวลานั้น เพราะฉะนั้นผมต้องพยายามที่จะไปช้อปปิ้ง ไปดูว่าประเทศไหนมีการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนที่ดี และอยู่ภายใต้เงื่อนไขความแข็งแรงของบริษัท ต้องไม่น้อยกว่า Triple B หรือ BBB ซึ่งการลงทุนของเราในระยะเวลา 3 ปีเราควรจะได้ผลตอบแทนไม่น้อยกว่า 5% และจากการพูดคุยทั้ง 3 บริษัท มีแนวโน้มว่าเราจะได้ผลตอบแทนมากกว่า 5 %” นายพิพัฒน์ กล่าว
นายพิพัฒน์ กล่าวว่า เมื่อไปรับฟังข้อมูลแล้ว ฝ่ายวิเคราะห์ของกองทุนประกันสังคม จะไปพิจารณาว่าใน 3 บริษัท นี้ หรือที่อื่นใด มีบริษัทไหนควรจะไปลงทุน จากนั้นตนจึงจะไปเป็นพยานในการเจรจาร่วมทุน พวกเราต้องการทำให้กองทุนประกันสังคมเป็นกองทุนที่มีความแข็งแรง และจะทำในสิ่งที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้แรงงานในระบบประกันสังคม
The Labour Minister, Mr. Phiphat Ratchakitprakarn, spoke about his official trip to Japan from April 5 to April 13. He, the Ministry of Labour’s executives, and the Social Security Office’s Secretary-General paid a visit and studied three Japanese asset management companies. They discussed how studying investment patterns in Japan will help the Social Security Fund find additional income and grow from 2.5 percent to 5 percent.
During the visit, they had discussions with Mitsubishi UFJ Financial Group, the largest financial institution in Japan. They studied the possibilities of finding investment opportunities in which the Social Security Fund will invest some funds. The meeting was a discussion and gathering of information on what returns there will be on investment. The second company, Sumitomo Mitsui Trust Bank, is a real estate company in Japan. Buildings are bought or built for sale or rental. The last company, Affirma Capital Managers Korea Limited, is the top duty-free shopping company in Japan.
Mr. Phiphat said that all three companies are different. Still, the most critical aspect is how to achieve the goal that was announced as a policy where there must be a return of no less than 5 percent or 1.2 trillion Baht per year, which is approximately 2.4 trillion Baht in interest from the Social Security Fund. In 2023, the Social Security Fund’s earnings almost reached 60 billion Baht. Therefore, the target for 2024 will shift from the previous 2.4 percent to approximately 3-4 percent. If possible, in 2025, they will have an interest of no less than 5 percent, which is moving towards the target of reaching 120 billion Baht in interest. When the fund has the opportunity to grow, it is believed that in 2024, the Social Security Fund’s principal will increase from 2.4 to 2.6 trillion Baht, and by 2025, it should reach 2.7 trillion Baht. If the fund can meet the conditions of profits of 5 percent or more, the fund will not reach the point of bankruptcy in 2054. And it is believed that if they reach that point, then the time will continue to be extended.
“As assigned by the Prime Minister to supervise the Ministry of Labour, I must think about how to develop our Ministry of Labour to become a Ministry of Economic Affairs to some extent. Most importantly, the Social Security Fund of insured persons under Sections 33, 39, and 40 must never become bankrupt, and this must not be the case when funds are being collected today to compensate those who have retired in the past. We will not wait for that to happen. Therefore, I need to start understanding different practices and visit which countries have investments that gain good returns under the conditions of the company. They must not be less than Triple B or BBB. Our investment in 3 years should have a return of 5 percent or more. From speaking with all three companies, we will likely have a return exceeding 5 percent,” Mr. Phiphat said.
Mr. Phiphat said that after studying the information, the Social Security Fund’s Analysis Department would consider whether to proceed with these three companies or anywhere else, looking at which companies would be most appropriate to invest in. Then, they will witness the joint venture negotiations. The goal is to strengthen the Social Security Fund and do what’s best for workers in the Social Security system.
————————————–
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/Division of Public Relations
